นายอภิชาติ ไพรรุ่งเรือง ประธานสหพันธ์การขนส่งทางบกแห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า จากกรณีน้ำมันแพงในขณะนี้ ทำให้ผู้ประกอบการรถบรรทุกไม่ถูกกฎหมาย หรือรถเถื่อนประมาณ 50,000-100,000 คัน ลักลอบกระทำการขนส่งผิดกฎหมาย โดยบรรทุกน้ำหนักเกินกว่ากฎหมายกำหนดที่ระบุว่า รถบรรทุก 1 คันจะบรรทุกได้ 25 ตัน แต่ในขณะนี้พบว่ารถบรรทุก 1 คัน บรรทุกน้ำหนักถึง 50 ตัน เท่ากับว่ารวบ 2 คันรวมไว้คันเดียว หรือมีการแบกน้ำหนักทดแทนในช่วงราคาน้ำมันที่สูงขึ้น เพื่อลดต้นทุนในการขนส่ง
ซึ่งการกระทำดังกล่าวนี้ถือว่าผิดกฎหมาย และสิ่งที่ตามมาคือส่งผลให้ถนนพังเสียหายในระยะเวลาไม่ถึงปี ซึ่งในแต่ละปีใช้งบประมาณดำเนินการก่อสร้างถนน กม. หลายร้อยล้านบาท สิ่งเหล่านี้ถือว่า ทำลายถนนอย่างมหันต์ และทำลายชีวิตคนด้วย เพราะถ้าถนนพังเสียหาย ทำให้เสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุได้ง่าย
นายอภิชาติ กล่าวต่อว่า นอกจากนี้มีเรื่องระบบส่วยสติกเกอร์ ที่ทำให้มีจำนวนรถที่กระทำผิดกฎหมายเพิ่มทวีคูณขึ้น เพราะป้ายสติกเกอร์นี้จะมีการซื้อขายกันมาเป็นเวลากว่า 20 ปีแล้ว เพราะสติกเกอร์ดังกล่าวนี้ หากรถคันไหนได้รับจะสามารถเดินรถได้ตลอดการขนส่ง โดยที่ไม่มีการตรวจสอบ ซึ่งเรื่องนี้เป็นปัญหามาโดยตลอด จากเดิมเคยซื้อป้ายสติกเกอร์ในราคา 4,000-5,000 บาทต่อคัน แต่ปัจจุบันขายในราคา 25,000-27,000 บาทต่อคัน ซึ่งเป็นราคาที่โหดมาก หากใน 1 เดือน มีรถบรรทุก 50,000 คัน จะมีรายได้ถึง 1,250 ล้านบาทต่อเดือนเลยทีเดียว ซึ่งระบบส่วยสติกเกอร์ส่งผลกระทบต่อผู้ประกอบการรถบรรทุกในระบบไม่ได้รับความยุติธรรมในการประกอบอาชีพ เพราะต้องดำเนินการตามกฎหมายกำหนด
ที่ผ่านมาสหพันธ์ฯ ได้มีการร้องเรียนและแจ้งข้อมูลไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้องแล้ว แต่ยังไม่ได้รับการแก้ไขเท่าที่ควร ดังนั้นขอวิงวอนไปยังรัฐบาลและกระทรวงคมนาคม ให้สอดส่องดูแลเรื่องวิกฤติน้ำมัน ที่นำพาผู้ประกอบการบางส่วนที่อยู่นอกกฎหมายแล้วกระทำผิดกฎหมาย โดยการบรรทุกน้ำหนักเกิน ขอให้เข้มงวดกวดขัด ตรวจสอบและแก้ไขปัญหาดังกล่าวด้วย เพื่อความปลอดภัยของผู้ใช้ทาง ขณะเดียวกันสหพันธ์ฯ ยินดีพร้อมให้ความร่วมมือในการส่งข้อมูลเอกสารหลักฐานในการกระทำผิด เช่น ภาพถ่าย วิดีโอ เพื่อนำผู้กระทำผิดมาลงโทษตามกฎหมายต่อไปคำพูดจาก สล็อตเว็บตรง